วิธีนี้ถูกเรียกใช้เมื่อเราใช้แรงอย่างหนักเป็นเวลา 30 วินาที - 2 นาที การสร้าง ATP แบบที่สองนี้ได้จากการสลายน้ำตาลกลูโคส(หน่วยย่อยที่สุดของคาร์โบไฮเดรต จำได้ไหม) วิธีนี้ไม่ใช้ออกซิเจนเข้าช่วย จึงใช้เวลาในการสร้างพลังงานเร็วมาก แต่มีข้อเสียคือผลจากการสลายน้ำตาลกลูโคสจะได้กรดแลคติกมาครับ เจ้ากรดนี้แหละเป็นตัวการทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและล้าที่กล้ามเนื้อ ดังนั้นร่างกายของเราจะทนกับสภาพนี้ได้แค่ 2-3 นาทีก็ต้องหยุดจากความล้า ธรรมชาติทำอย่างนี้เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อต้องรับภาระหนักจนเกินไป (แต่สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจะสามารถทนกรดแลคติกได้มากขึ้น และสามารถที่จะยืดเวลาออกไปได้)
ตัวอย่างของกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายสร้างพลังงานโดยวิธีนี้เช่น การวิ่งเต็มแรงขึ้นบันได โดยแบ่งได้ว่าที่ 10 วินาทีแรกร่างกายจะสร้าง ATP จากวิธีที่ 1 คือเอาที่มีเก็บอยู่มาใช้เลย หลังจากนั้นวิธี Glycolytic นี้ก็จะเข้ามามีบทบาท และจะสร้างพลังงานต่อไปอีกประมาณ 2 นาที ซึ่งก็พอดีกับเมื่อเรารู้สึกเมื่อยขาจากกรดแลคติกจนต้องหยุดนั่นแหละ
วิธีนี้เป็นการสร้าง ATP ที่ช้าที่สุด แต่เป็นแหล่งผลิตพลังงานหลักของเรา ขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่หรือแม้กระทั่งเวลานอนร่างกายก็สร้างพลังงานด้วยวิธีนี้เป็นหลัก และร่างกายยังใช้วิธีนี้เมื่อเราทำกิจกรรมที่ยาวนานแต่ไม่หนักมากด้วย เช่น การเดินทางไกล หรือ วิ่งจ้อกกิ้งที่กินเวลานานแต่ไม่ได้ใช้แรงจนถึงขั้นหอบแฮ่กๆ
การสร้างพลังงาน 2 วิธีแรกไม่ใช้ออกซิเจน แต่วิธี Aerobic Glycolytic System นี้ใช้ครับ โดยออกซิเจนก็ได้จากการหายใจเข้าไปนั่นเอง และการสร้าง ATP แบบสุดท้ายนี้ใช้สารตั้งต้นคือ คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน และ โปรตีน ซึ่งการจะนำสารตัวไหนมาใช้เท่าไร จะมีสัดส่วนที่ต่างกันตามความหนักเบาและระยะเวลาของกิจกรรมดังต่อไปนี้