เราเห็นได้ทั่วไปตามแมกกาซีนหรือทีวีครับ เข็มขัด ลูกกลิ้ง อะไรเยอะแยะไปหมด ทฤษฎีของเขาว่าไว่ว่า เมื่อมีการสั่น หรือมีการใช้ความร้อนในส่วนที่เอาเครื่องนี้ไปใส่ ไขมันส่วนนั้นจะถูกตีให้แตก และ สลายไปได้..
หะ หา เดี๋ยวนะ สลายไปเหรอ สลายไปไหน??? ซึมเข้ากล้ามเนื้อ? ซึมเข้าเส้นเลือด? งั้นยิ่งแย่กว่าเดิมอีก อยู่ดีๆเอาไขมันเข้าเส้นเลือดให้เป็นไขมันอุดตันซะงั้น ความจริงคือมันไม่ได้สลายไปไหนครับ มันไม่ได้หายไป มันแค่ถูกตีๆให้กระจาย เหมือนคุณทุบเนื้อสเต็กอ่ะ เหงื่อที่ออกมาก็ไม่ได้เกี่ยวกันเลย เหงื่อ = น้ำ ไม่ใช่ไขมัน และสำหรับการการันตีว่ารอบเอวเล็กลงหลังจากเล่น ก็แน่นอนสิครับ มันต้องเล็กลงสิเห้ย ความร้อน แรงกดดัน การที่เราไปรัดกล้ามเนื้อนั้นๆ ทำให้มันเล็กลงชั่วคราว แต่ถ้าลองวัดรอบเอวใหม่อีกทีวันพรุ่งนี้ เอวกลับมาเท่าเดิมแน่นอน
ซาวน่าหรือการใส่เสื้อวิ่งก็เป็นอีกความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง เชื่อว่าน่าจะเห็นมาจากการที่นักมวยใส่เสื้อกันหนาววิ่ง มาดูกันก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราใส่เสื้อที่หนาในขณะที่ออกกำลังกาย แน่นอนครับ ร่างกายจะร้อนขึ้น เหงื่อไหลเป็นน้ำ ซาวน่าก็เช่นกัน และเมื่อน้ำจำนวนขนาดนั้นหายไปจากตัวเรา เราก็น้ำหนักลดแน่นอนสิ แต่นั่นมันเป็นน้ำหนักน้ำนะ ไม่ใช่ไขมันเลย ที่นักมวยเขาใส่เสื้อหนาๆเป็นเพราะต้องการลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ก่อนขึ้นชก เค้าไม่ได้ลดไขมันครับ เค้าลดน้ำหนักจากน้ำ เมื่อชั่งน้ำหนักเสร็จกลับมากินน้ำเป็นลิตรๆ น้ำหนักกลับมาเท่าเดิมเป็นปกติสุข ขอย้ำอีกครั้งครับว่า ไขมันจะถูกเผาผลาญได้จะต้องให้ความร้อนถึง 360 องศา ความร้อนแค่จากเสื้อกันหนาวไม่ได้เสี้ยวหนึ่ง กลับกันมันไปกักความร้อนของร่างกายทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นอีก และเมื่อกล้ามเนื้อร้อนเกินไป ปฏิกิริยาเคมีต่างๆในร่างกายก็จะทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
ไม่ต้องใช้เครื่องอะไรช่วยทั้งสิ้นแหละครับ เพียงแค่กินให้น้อยกว่าที่ใช้ เลือกชนิดของอาหาร เน้นไปคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน งดของหวาน ทำคาร์ดิโอให้ได้วันละ 40 นาที อาทิตย์ละ 4 วัน หรือเล่นเวทเพื่อให้กล้ามเนื้อช่วยเผาผลาญไขมัน สิ่งเหล่านี้แหละที่จะช่วยให้ไขมันส่วนเกินในส่วนที่ไม่พึงประสงค์ค่อยๆสลายไปเรื่อยๆ อย่าไปเร่งร่างกายจนเกินพอดีด้วยวิธีแปลกๆเลยนะครับ มาเน้นที่อาหารและการออกกำลังกายกันดีกว่า นอกจากหุ่นจะดีแล้ว ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย ดีกว่าดูดีแต่ขี้โรคเยอะเลยครับ